วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันพ่อ

วันพ่อแห่งชาติ

ประวัติความเป็นมาความสำคัญของวันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติ 2554
 
วันพ่อแห่งชาติ
 
วันพ่อแห่งชาติ 2554
 

วันพ่อแห่งชาติ

 
    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หน้า 587) พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายคำว่า “พ่อ” ไว้ดังนี้
 
     พ่อ หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูก, คำที่ลูกเรียกชายผู้ให้กำเนิดตน
     ในทางพุทธศาสนา ได้ให้ความหมายของคำว่า “พ่อ” หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูกมีใช้หลายคำ เช่น
         
     - บิดา (พ่อ)
     - ชนก (ผู้ให้กำเนิด)
     - สามี (ผัวของแม่) เป็นต้น
 
     วันพ่อแห่งชาติ  5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย
 
      วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือวันพ่อแห่งชาติ มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์เป็นผู้ถวายการประสูติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการจำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่ พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” อันคำว่าโดย “ธรรม” นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า “ราชธรรม 10 ประการ”
 
วันพ่อแห่งชาติ 2554 
พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง 
 
     ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ ห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้
 
     “...บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติและต่างร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่างและนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท และด้วยความมีสติ…”
 
      (พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง) 

กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันพ่อแห่งชาตินี้

      1. ในวันพ่อแห่งชาติเราควรประดับธงชาติไทยที่อาคารบ้านเรือน

      2. จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล

     3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
 

ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ 

      วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ

ทุกบุปผา มาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสิน
พระ คือ บิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร
ลุ 5 ธันวามหาราช “วันพ่อแห่งชาติ” คือองค์อดิศร
พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน 
 
    ด้วยพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพ เทิดทูน และตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อนี่เป็นที่มาของการจัดให้มี วันพ่อแห่งชาติ
 
วันพ่อแห่งชาติตรงกับวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
 
วันพ่อแห่งชาติหรือวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
 

5 ธันวาวันพ่อแห่งชาติ 

      5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและยังเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะพ่อแห่งชาติ อีกทั้งทรงเป็นพ่อตัวอย่างของปวงชนชาวไทย ที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน ทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงขจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น พ่อแห่งชาติที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ วัฒนาถาวรสืบไป ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของวันพ่อแห่งชาติ 4 ประการ คือ
 
1.       เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 
2.       เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
 
3.       เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ
 
4.       เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน  
 
วันพ่อแห่งชาติ ในประเทศไทยตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี
 
วันพ่อแห่งชาติ ในประเทศไทยตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี
 
ดอกไม้ประจำวันพ่อแห่งชาติ
 
     วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติ กำหนดขึ้นครั้งแรก ในปี 2523 และ กำหนดให้ ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ
 
วันพ่อแห่งชาติมีดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ประจำ
 
ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ
 
     “พุทธรักษา” ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวัน พระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว
 
     คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เ
 
บทบาทของพ่อ
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปบทบาทหน้าที่ของพ่อและแม่ไว้ 5 ข้อ
 
1.       กันลูกออกจากความชั่ว
 
2.       ปลูกฝังลูกไว้ในทางที่ดี
 
3.       ให้ลูกได้รับการศึกษาเล่าเรียน
 
4.       ให้ลูกได้แต่งงานกับคนดี
 
5.       มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงการณ์อันควร
 
วันพ่อแห่งชาติของแต่ละประเทศจะแตกต่างกันออกไป
 
วันพ่อแห่งชาตินั้นทั่วโลกจะมีการจัดแตกต่างกันไป โดยในประเทศไทยจัดตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี
 
     ในส่วนของพ่อเองก็ต้องตั้งใจฝึกตนเองให้ดี ให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกให้ได้  หาเวลามาทำกิจกรรมร่วมกัน จะได้มีเวลาแนะนำอบรมสั่งสอนกันเพื่อครอบครัวจะได้ เป็นครอบครัวอบอุ่น โดยในวันพ่อที่จะถึงนี้ ก็ขออวยพรให้คุณพ่อทุกท่านมีความสุข ดูแลลูกๆ และอยู่กับลูกๆ ไปตราบนานเท่านาน

                                           พ่อคือผู้ยิ่งใหญ่ในชีวิต                   สุดห้ามคิดถึงพ่อไปฉไน
                          พ่อคือพระแสนประเสริฐเลิศวิไล               ไม่มีใครที่จะดีเท่าพ่อเรา
                          ถึงแม้นพ่อจะตีหรือดุด่า                        หรือต่อว่าพวกเราสุดภูเขา
                         แต่อย่างไรผมไม่โกรธและเข้าใจ              ที่ทำไปพ่ออยากให้ผมดีเอย


อย่าลืมบอกรักพ่อทุกๆวัน อย่าลืมคิดถึงพ่อทุกๆคืน
เพราะเราไม่ใช่แค่เด็กวานซืน จะวันมะรืนหรือวันไหนๆ พ่อก็ยังคงรักเรา



 

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คนมีน้ำยา

น้ำยาล้างจาน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
น้ำยาล้างจาน
น้ำยาล้างจาน คือสารชำระล้าง (detergent) ที่ใช้ช่วยในการล้างจาน มีส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิว (surfactant) ที่มีการระคายเคืองต่ำ ประโยชน์หลักของน้ำยาล้างจานคือใช้ล้างภาชนะและเครื่องครัวด้วยมือหลังจากประกอบหรือรับประทานอาหารแล้ว น้ำยาล้างจานทำให้สิ่งสกปรกและไขมันหลุดจากภาชนะและรวมตัวเป็นอีมัลชัน (emulsion) อยู่ในน้ำหรือฟอง (foam) เนื่องจากโมเลกุลของน้ำยาล้างจานประกอบด้วยส่วนที่มีขั้วและไม่มีขั้วเช่นเดียวกับผงซักฟอก ส่วนที่มีขั้วจะจับกับโมเลกุลของน้ำ และส่วนที่ไม่มีขั้วจะจับกับสิ่งสกปรกให้หลุดออก ในสมัยก่อนมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น สบู่ล้างจาน หรือ ครีมล้างจาน เนื่องจากเคยผลิตในรูปของสบู่และครีมมาก่อน ปัจจุบันน้ำยาล้างจานมีส่วนผสมอื่นรวมอยู่ด้วย เช่น น้ำมะนาวหรือชา ซึ่งเชื่อว่าเป็นการช่วยให้ภาชนะสะอาดมากขึ้นและถนอมมือมากกว่าเดิม

ข้อเสียของน้ำยาล้างจาน

ฟองของน้ำยาล้างจานเป็นสิ่งปิดกั้นบนผิวน้ำ ทำให้ออกซิเจนในอากาศละลายน้ำไม่ได้ และกั้นไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องลงไปใต้ผิวน้ำ พืชน้ำก็จะไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ เมื่อสิ่งมีชีวิตในน้ำขาดออกซิเจนก็จะตายลง และเมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงจะส่งผลทำให้น้ำเน่าเสีย นอกจากนั้น สารเคมีบางชนิดในน้ำยาล้างจานอาจเป็นอันตรายกับทั้งพืชน้ำและสัตว์น้ำ และยังอาจทำให้ผิวของเราระคายเคืองบ้างเล็กน้อย

การทำน้ำยาล้างจาน PDF Print E-mail
Written by อุไร เชื้อเย็น   
Friday, 19 March 2010 08:35
น้ำยาล้างจาน
ส่วนประกอบ
1. หัวแชมพู (emal 28 ctn ) หรือ N70           1        กก.
2. สารขจัดคราบ (neopelelex f-24)               1.25  กก.
3. สารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab)    100   กรัม
4. หัวน้ำหอม                                                     8       กรัม
5. น้ำสะอาด                                                       5      ลิตร
อุปกรณ์ที่ใช้
1. ถังน้ำขนาด                                                     10     ลิตร
2. ไม้สำหรับกวนน้ำยาให้เข้ากัน
3. ขวดน้ำเปล่าขนาดประมาณ 500 cc จำนวน 15 ขวด สำหรับใส่น้ำยา
วิธีทำ
1. นำหัวแชมพู emal 28 ctn ผสมกับ สารขจัดคราบ (neopelelex f-24) กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยเติมน้ำสอาดทีละน้อยจนครบ 5 ลิตร กวนให้เข้ากัน
2. เติมสารชำระล้างถนอมมือ (amphitol 55 ab) ในส่วนผสมข้อที่ 1 กวนให้เข้ากัน (กวนช้า ๆ เพราะจะเกิดฟองมาก
3. เมื่อกวนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว นำสารกันเสียและหัวน้ำหอม (น้ำหอมกลิ่นมะนาวหรือกลิ่นอื่นที่ชอบ) เติมลงไปกวนให้เข้ากัน
หมายเหตุ
ราคาชุดละ  130 บาท หาซื้อได้ที่ร้านศรีสำอาง หรือร้านฮงฮวด ใกล้สี่แยกวัดตึก (วัดชัยชนะสงคราม) ใกล้คลองถม สำเพ็ง นั่งรถสาย 8 หรือ ปอ.พ. 8 จากหน้าสวนจตุจักร
หรือซื้อได้ที่ บริษัทฮงฮวด จำกัด (สาขาจตุจักร) ชั้น 2 เลขที่ S39 อาคาร เจ.เจ.มอลล์ ถ.กำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร

น้ำยาล้างจาน






น้ำยาล้างจาน สูตรสมุนไพร ชวนมาทำน้ำยาล้างจานไว้ใช้เองกันค่ะ
น้ำยาล้างจานสูตรนี้ได้มาจากพี่ที่เคารพรักท่านหนึ่ง
ทำใช้เองมา 2-3 ปีแล้วค่ะและคงไม่ซื้อใช้ไปตลอด
สูตรนี้จะเรียกว่าน้ำยาล้างจานสมุนไพรก็คงจะได้
เพราะส่วนผสมหลักๆเป็นสมุนไพรไทยที่เราหาได้จากครัวเรือนหรือตลาดทั่วไป
ถึงแม้ว่าเราจะยังตัดขาดสารเคมีไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าลดลงได้ในระดับหนึ่งค่ะ

น้ำยาล้างจานทั่วไปที่เราซื้อใช้ก็จะประกอบด้วยสารซักล้าง
สารเพิ่มฟอง สารกันบูด สีและกลิ่น ซึ่งเป็นสารเคมีล้วนๆ
จะเห็นได้ว่าบางคนใช้แล้วมืออันสวยงามของสาวๆเราแห้งแตกระแหง
บางคนก็ลอกเป็นขุยๆ เพราะแพ้สารเคมีเหล่านั้น
นอกจากนี้ยังทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วยค่ะ

สูตรที่เราจะทำนี่ใช้เพียงหัวแชมพูเพื่อให้เกิดฟองเท่านั้นค่ะ
เพราะเราคงยังทำใจไม่ได้ที่จะล้างจานโดยไม่มีฟองเลย
และหัวแชมพูนี้ก็ยังมีส่วนช่วยในการลดคราบมันพอสมควร

มาดูส่วนผสม น้ำยาล้างจาน กันค่ะ

มะกรูด 10 ลูกใหญ่
ใบชาจีน 25 กรัม
มะขามเปียก 1 ปั้น
Emal 28 CTN 1 กก. (หัวแชมพูใส)
เกลือประมาณ 90 กรัม
น้ำ 2.5 กก.


มะกรูดล้างให้สะอาดหั่นเป็นแว่นๆ
มะขามเปียก ฉีกออกจากปั้น (ไม่มีรูปนะคะ ลืมถ่ายไว้)
ทั้งสองอย่างนี้ช่วยขจัดคราบได้ดี




ใบชาจีน ไม่ต้องซื้ออย่างดีหรอกค่ะ ซื้อตราสามม้าที่เป็นห่อๆแบบถูกๆก็พอเพราะเราใช้แค่คุณสมบัติของชาเท่านั้นคือช่วยดับกลิ่นคาวและคราบไขมันต่างๆได้




หัวแชมพูใส หาซื้อได้ตามร้านที่ขายเคมีภัณฑ์ค่ะ ตัวที่ใช้นี้มีชื่อว่า
Emal 28 CTN ซื้อจากร้านฮงฮวด ถนนจักรวรรดิ ราคากก.ละ 35 บาท




เกลือป่น ใช้เกลือป่นแบบชาวบ้านๆถุงละ 1 บาทก็พอค่ะ
ซื้อยกโหล โหลละ 10 บาท หาได้ตามร้านขายของชำ




วิธีทำน้ำยาล้างจาน

ชั่งน้ำใส่หม้อแสตนเลส 2.5 กก. ใส่มะกรูด, มะขามเปียก และใบชาลงไป ตั้งไฟให้เดือดแล้วต้มต่อสักพัก ใช้ทัพพีคนๆให้ส่วนผสมถูกต้มให้ทั่วๆ แต่อย่าบี้ส่วนผสมนะคะ




ต้มได้ที่แล้วหน้าตาจะเป็นแบบนี้




นำไปกรองรองด้วยผ้าขาวบางสักสองชั้น โดยไม่ต้องคั้นใดๆทั้งสิ้น
แค่ปล่อยให้น้ำไหลแล้วแห้งเอง




กรองเสร็จแล้วจะได้น้ำสีน้ำตาลขุ่นๆหอมๆแบบนี้ ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น




เมื่อส่วนผสมเย็นแล้ว นำหัวแชมพูใสมาเทใส่คนให้เข้ากันดี
ส่วนผสมเข้ากันดีแล้วจะได้น้ำสีน้ำตาลใสๆและหอมๆอีกแบบหนึ่ง
เห็นไหมคะจากที่ตอนแรกยังไม่ใส่หัวแชมพูน้ำจะขุ่นๆในรูปข้างบน




ค่อยๆใส่เกลือลงไปทีละ 1 ชต.และคนให้ละลายจึงใส่อีกช้อน ตักขึ้นแล้วเทดูว่าข้นพอตามต้องการหรือยัง เมื่อข้นพอแล้วก็หยุดใส่เกลือ จำนวนเกลืออาจน้อยกว่าหรือมากกว่านิดหน่อยจากที่ให้ไว้ ขึ้นอยู่กับความต้องการว่าอยากให้ข้นหนืดแค่ไหน

เวลาทำไม่เคยชั่งเกลือเลยค่ะ จะค่อยๆใส่ลงไปแล้วคนๆ
ดูความข้นหนืดตามต้องการ

(แต่ห้ามใส่เกลือมากเกินไปหรือเทพรวดลงไปหมด ถ้าเกลือมากเกินไปจะทำให้ส่วนผสมคืนตัว แล้วส่วนผสมจะไม่ข้นอีกเลยค่ะ)

อันนี้ข้นพอแล้ว ไม่รู้ว่ามองจากภาพจะดูออกไหม



ตักเก็บใส่ขวดที่แห้งๆไว้ใช้ได้ เขาบอกว่าอยู่ได้ 6 เดือน
แต่ที่ทำมาเกิน 6 เดือนก็ไม่เห็นเป็นไรนะคะ ยังหอมและใช้ได้ดี
ที่เห็นในรูปทั้งหมดนั่น ทำ 2 สูตรค่ะ เพราะใช้หลายบ้าน




น้ำยาล้างจานที่เราทำได้สีอาจไม่สวยเหมือนที่ซื้อ เพราะเป็นสีธรรมชาติ
กลิ่นหอมก็กลิ่นหอมจากสมุนไพรค่ะ
แต่เราก็ลดสารเคมีที่อาจตกค้างแล้วเข้าสู่ร่างกายเราได้ส่วนหนึ่งละค่ะ
ทำแชมพูสมุนไพรใช้เอง

เส้นผมเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากโพรงเล็กๆ เรียกว่าฟอลลิเคิล (follicle) ใต้หนังศีรษะ ซึ่งผมแต่ละเส้นประกอบด้วย 3 ชั้น  ชั้นนอกสุดเรียกว่า คิวติเคิล (cuticle) ลักษณะบางใส ไม่มีสีเป็นเคอราตินแข็งคล้ายเล็บ ชั้นนี้มีความสำคัญที่สุดเพราะทำหน้าที่ปกป้องเซลล์ชั้นใน ทำให้ผมมีความแข็งแรง หากผมชั้นนี้ได้รับความกระทบกระเทือนจะทำให้เส้นผมดูหยาบกระด้าง  ไม่เงางาม ชั้นกลางเรียกว่า  คอร์เทกซ์ (cortex) เป็นชั้นที่หนาที่สุดภายในมีเม็ดสี (melanin) ทำให้เกิดสีผมและเป็นชั้นที่ทำให้ผมมีความยืดหยุ่น ชั้นในสุดเรียกว่า เมดูล่า (medulla) เป็นแกนกลางของเส้นผมมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนใหญ่  คือ เคอราติน (keratin) ประมาณ 65-95% และมีโพรงอากาศแทรกอยู่ตรงกลางสุด

     ส่วนหนังศีรษะของเรานั้น มีต่อมไขมันรวมอยู่ ทำหน้าที่ผลิตไขมันหรือน้ำมัน เพื่อเคลือบหนังศีรษะและเส้นผมยาวลงมาประมาณ 1 นิ้ว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อเส้นผม นอกจากนี้หนังศีรษะยังมีความเป็นกรดอ่อนๆ ดังนั้นแชมพูจึงต้องทำให้เป็นด่างเล็กน้อย เพื่อล้างกรดออกจากเส้นผมและหนังศีรษะออกให้หมดจะเลือกแชมพูอย่างไรดี
แชมพู (shampoo)
 
     เราแบ่งแชมพูได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แชมพูเคมี ที่ใช้สารเคมีเป็นส่วนประกอบทั้งสารทำความสะอาดและสารบำรุง  และแชมพูธรรมชาติ (แชมพูสมุนไพร)  คือ แชมพูที่มีส่วนผสมของสารทำความสะอาดและใช้สมุนไพรเป็นสารบำรุง ซึ่งบางชนิดอาจจัดเป็นแชมพูสมุนไพรสดที่ใช้สมุนไพรมาผลิตเป็นยาสระผมโดยไม่ใส่สารกันเสียใดๆ

     หากต้องการซื้อแชมพูขจัดรังแคเคมี สารประกอบสำคัญที่คุณจะพบคือซิงค์ไพริไทออน (Zinc pyrithione) เพื่อลดการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิวหนังและต้านเชื้อแบคทีเรีย แต่หากเป็นแชมพูธรรมชาติสารที่พบอาจเป็นสารสกัดจากมะกรูดทำให้ผมนิ่มขึ้น  แต่หากต้องการซื้อแชมพูเพื่อบำรุง ควรดูว่าเส้นผมมีลักษณะอย่างไรและเลือกแชมพูให้ตรงกับชนิดของเส้นผม 
 
     นอกจากนี้คุณควรอ่านฉลากทุกครั้ง ก่อนซื้อสินค้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อจะได้แชมพูตรงกับความต้องการและสภาพเส้นผมมากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากเป็นคนผมมัน ควรเลือกแชมพูที่มีมอยเจอร์น้อยๆ เพื่อจำกัดความมันของหนังศีรษะและควรใช้ครีมนวดเฉพาะปลายผมลงมา ไม่ควรใช้ครีมนวดผมบนศีรษะ คนผมแห้งควรใช้มอยเจอร์ในปริมาณที่มากขึ้น และใช้ตั้งแต่หนังศีรษะลงมาจนถึงปลายผม และใช้ครีมนวดผมทุกครั้งหลังสระผม สำหรับคนผมธรรมดาสามารถใช้แชมพูได้ทุกประเภท เพียงหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ผมเสีย เช่น การย้อมผม หรือการหวีแรงๆ


ทำแชมพูสมุนไพรใช้เอง



ขิง (Ginger) : แก้ผมร่วง ทำให้เส้นผมเกิดใหม่ได้ดีขึ้น
วิธีใช้ : นำเหง้าสดมาเผาไฟ ทุบให้แตกผสมน้ำนำไปขยี้ให้ทั่วศีรษะ วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 3 วัน หรือนำขิงแก่ 1 เหง้า  ขนาดเท่าฝ่ามือตำให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบางเป็นลูกประคบ วางบนหม้อประคบที่ต้มน้ำจนเดือด  เมื่อลูกประคบร้อนนำไปประคบบริเวณผมร่วง ทำวันละ 2 ครั้ง 20-30 นาที  3-5  วัน จะเห็นผล

ตะไคร้ (Lemon Grass) : แก้ผมแตกปลาย ขจัดรังแค ทำให้ผมดกดำ
วิธีใช้ : ใช้ต้นตะไคร้ 3-4 ต้น หั่นเป็นชิ้นแล้วตำ คั้นเอาน้ำมาใช้นวดหลังสระผมทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก ทำทุกครั้งหลังสระผม จะเห็นผลภายใน 2 เดือน

ฟ้าทลายโจร : แก้ผมร่วง 
วิธีใช้ : นำมาต้มกับน้ำ หลังสระผม ชโลมให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงล้างออก

มะกรูด (Kaffir Lime) : ทำให้ผมดกดำ นิ่มสลวย ขจัดรังแค แก้ผมร่วง
วิธีใช้ :
1. มะกรูด 1 ผลผ่าซีก ต้มกับน้ำ 2 แก้วให้เดือดยกลงจากเตา ทิ้งไว้ 5 นาที บีบเอาน้ำมะกรูด กรองเอาเนื้อและกากออก นำน้ำที่ได้ไปสระผม ผมจะนิ่มสลวย
2. ผลมะกรูด 1 ผลบีบเอาแต่น้ำ นำมาผสมหัวกะทิ  กวนให้เข้ากันใช้ขยี้ให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออก ทำวันละครั้งติดต่อกัน 7 วัน ผมจะดกดำ
3. ผลมะกรูด 1 ผล เผาไฟให้ร้อน คั้นเอาน้ำใช้ขยี้บนศีรษะให้ทั่วทิ้งไว้ 2-3 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยขจัดรังแค

มะพร้าว (Coconut) : ทำให้ผมนิ่ม รักษาผมแห้งแตกปลาย
วิธีใช้ : บีบเนื้อมะพร้าวเป็นกะทิ นำไปเคี่ยวจนได้น้ำมัน ใช้นวดเส้นผม ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วจึงสระออก

ว่านหางจระเข้ : ทำให้ผมลื่น หวีง่าย นุ่มสลวย รักษาแผลบนหนังศีรษะ
วิธีใช้ : ใช้ใบแก่ที่มีน้ำเมือกมาก ล้างให้สะอาด แช่ในน้ำอุ่น 5-10 นาที ให้ยางสีเหลืองไหลออกให้หมด เอามีดเฉือหนามออกทั้งสองข้าง ผ่าเนื้อวุ้นออกเป็น 2 ซีก นำน้ำวุ้นที่ได้มาทาผมแทนการใส่น้ำมัน หรือนำเนื้อวุ้นที่ได้มาใส่เครื่องปั่น  ปั่นให้ละเอียดน้ำวุ้นที่ได้ใช้หมักผมทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก
 
สูตรแชมพูสมุนไพรสด สูตรรำข้าว

ส่วนประกอบ :
- มะกรูด 1 ผล
- ฝักส้มป่อย 1-2 ฝัก
- รำข้าวละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ :
1. นำมะกรูดและฝักส้มป่อยไปเผาไฟให้มีกลิ่นหอม
2. ผ่าซีกมะกรูด นำไปต้มรวมกับฝักส้มป่อยในน้ำ 1 ชาม  ต้มจนเดือด
3. นำน้ำที่ต้มได้ผสมกับน้ำเย็น 1 กะละมัง
4. เติมรำข้าว คนให้เข้ากัน  เอาน้ำที่ได้ไปชโลมเส้นผม นำกะละมังมารองน้ำที่ใช้ชโลมแล้วกลับมาทำซ้ำอีก ใช้หวีซี่ห่างสางผมไปด้วย ทำเช่นนี้ไป 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด 

สูตรนี้เมื่อใช้แล้วจะทำให้ผมนิ่ม ไม่พันกัน และมะกรูดจะช่วยรักษารังแคและอาการคันหนังศีรษะ

ใส่ใจหนังศีรษะบ้าง

     เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น กล้ามเนื้อใต้หนังศีรษะก็จะเกิดความตึงเครียดด้วย ทำให้ระบบไหลเวียนน้ำเหลืองใต้หนังศีรษะทำงานได้ไม่ดีและเกิดเป็นของเสียตกค้างใต้หนังศีรษะ ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเส้นผมได้ไม่เพียงพอ การนวดผ่อนคลายกล้ามบริเวณหนังศีรษะจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยการนวดหนังศีรษะทุกครั้งที่สระผม ด้วยการกางนิ้วมือทั้งสิบกดลงไปและนวดให้ทั่วศีรษะ  เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และนวดต้นคอและบ่าทั้งสองข้าง  เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและการไหลเวียนน้ำเหลืองให้ทำงานดีขึ้น

     นอกจากการนวดหนังศีรษะแล้ว การดีท็อกเส้นผมและหนังศีรษะก็สามารถช่วยกำจัดของเสียได้เช่นกัน โดยทำได้ 2 วิธีคือการนวดด้วยมือ และการดีท็อกหนังศีรษะด้วยแรงดันน้ำระบบสูญญากาศ เพื่อชะล้างคราบสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนเส้นผม  และใช้น้ำอุ่นกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้หล่อเลี้ยงหนังศีรษะได้ดีขึ้น แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกันไป เช่น การนวดด้วยมือสามารถสร้างความผ่อนคลายได้มากกว่าการนวดด้วยเครื่อง ในขณะที่การนวดด้วยเครื่องสามารถทำความสะอาดเส้นผมได้ล้ำลึกมากกว่าการนวดด้วยมือเป็นต้น

     การทำดีท็อกหนังศีรษะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน เช่น ผู้ที่ทำสีผมบ่อย ผมเสียมาก หรือมีปัญหาเรื่องผิวหนังอักเสบ เป็นแผลเป็นรังแค อาจทำบ่อยได้ถึง 2 ครั้งต่อเดือน สำหรับผู้ต้องการดูแลเส้นผมธรรมดาอาจทำเดือนละ 1 ครั้งก็น่าจะพอแล้ว

     การเสริมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเส้นผมจากภายในด้วยการเลือกกินอาหารก็จำเป็นเช่นกัน ถ้าคุณต้องการให้ผมเงางามควรกินสารอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง เช่น ฟักทอง มะละกอ ตำลึง หรือแครอท และควรเสริมวิตามินซีและอี ธาตุสังกะสี  ธาตุเหล็ก จากอาหารจำพวกข้าวไม่ขัดขาว ข้าวสาลี ไข่ ถั่ว นม ธัญพืช ผักผลไม้ และตับ เพื่อบำรุงเส้นผมด้วย ที่สำคัญควรลดการดื่มน้ำอัดลม เนื่องจากทำให้เลือดเป็นกรดและส่งผลให้เส้นผมสูญเสียแร่ธาตุ

แชมพูมะกรูด

 
Tags:
หลังจากที่เมื่อวันก่อนทำน้ำหมักมะกรูด เพื่อเอาไว้ทำน้ำยาล้างจาน และ ล้างห้องน้ำ วันนี้ได้มะกรูดเพิ่มอีก ก็เอาไปทำน้ำหมักเพิ่มอีก 3 ก.ก.เหลือจาก 3 ก.ก.แล้วเอาไงดีล่ะทีนี้(น้ำยาล้างจานต้องรออีก 3 เดือนแน่ะ)ก็เลยทำแชมพูจากมะกรูดล้วนๆ ไม่ผสมอะไรเลยนอกจากน้ำ(สูตรเหรอ ค้นหาจากกูเกิ้ล)และยังไม่ได้ลองใช้ด้วยเย็นนี้เป็นต้นไปเราจะใช้แชมพูมะกรูด ทุ๊กวันเลยค่ะ
ป.ล. ขณะทำขั้นตอนสุดท้าย น้องบุ๋มโทรมาพอดีคุยเรื่องเผาถ่าน น้องบุ๋มคุยเก่ง คุยสนุกมากค่ะ
มะกรูดที่เหลือจากทำน้ำหมัก
หั่นเป็นชิ้นสี่ส่วน
ใส่น้ำพอท่วมมะกรูดและนำไปต้มจนเปื่อยเสร็จแล้วทิ้งใว้ให้เย็น
เสร็จแล้วปั่น ปั่น ปั่น หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ
เสร็จแล้วกรอกใส่ขวด ใช้ได้เลยค่ะ
เหลือเก็บอีก 1 ขวดคงใช้ได้อีกนานค่ะ
สรรพคุณเขาบอกว่าไม่มีฟอง ไม่มีสารพิษ เวลาใช้ให้หมักผมด้วยแชมพูมะกรูดทิ้งใว้สักพักแล้วค่อยล้างออกค่ะ

บำรุงผมด้วยมะกรูด

มะกรูด
     คุณค่าของมะกรูด ในการบำรุงเส้นผมนั้นอาจเป็นสิ่งที่หลายๆ ท่านรู้กันดีอยู่แล้ว เพราะแม้กระทั่งผู้ผลิตยาสระผมบางรายยังใช้เป็นประเด็นในการโฆษณาว่า แชมพูของตนผสมมะกรูด มะกรูดไม่เพียงแต่ทำให้ผมดำเป็นเงางามเท่านั้น แต่ยังช่วยกำจัดรังแคแก้คันศีรษะ แก้ผมแตกปลายป้องกันผมร่วง และทำให้ผมหงอกช้า  มะกรูดเป็นสมุนไพรธรรมชาติ จึงไม่ต้องกลัวแพ้เหมือนแชมพูที่ทำจากสารเคมี ที่สำคัญมะกรูดบำรุงผมได้ทุกชนิด คนผมแห้งหรือผมมันก็ใช้ได้


วิธีใช้มะกรูดสระผม

การนำมะกรูดมาสระผมนั้นมี หลายวิธีให้เลือก ดังนี้

     1. เอามะกรูดสดๆ มาผ่าครึ่ง แคะเอาเม็ดออก บีบเอาน้ำมาใช้สระผม แต่วิธีนี้จะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากน้ำมันที่ผิวมะกรูด

     2. ปอกผิวมะกรูดออก นำมาตำให้ละเอียด แล้วบีบน้ำมะกรูดผสมลงไป เติมน้ำลงไปอีกพอให้ส่วนผสมเริ่มเหลว คนให้เข้ากันดี ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วกรองคั้นเอาแต่น้ำไปใช้ วิธีนี้เวลาสระจะได้กลิ่นเหม็นเขียวจากผิวมะกรูด แต่สระเสร็จแล้วจะหอมได้ผลดีที่สุด

     3. เอาลูกมะกรูดมาหั่นเป็นชิ้นและนำมาเข้าเครื่องปั่นจนละเอียดที่สุด เอาออกมาใส่ชามเติมน้ำอุ่นลงไปจนท่วม คนให้ทั่ว ตั้งทิ้งไว้ 10-20 นาที คั้นเอาแต่น้ำใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ น้ำมะกรูดจะอยู่ได้ 1-2 สัปดาห์ สำหรับมะกรูดนั้นจะใช้มะกรูดสดหรือเผาไฟก่อนก็ได้

วิธีทำน้ำมะกรูดด้วยการเผาไฟ

เหมาะสำหรับขจัดรังแค แก้คันศีรษะใช้หมักผมและหนังศีรษะ

    1. นำมะกรูดเผาไฟให้พอมีน้ำมันซึมออกมาจากผิว และมีกลิ่นหอม
    2. ผ่าครึ่ง บีบเอาเฉพาะน้ำมาชโลมให้ทั่วหนังศีรษะ หมักไว้ประมาณ 15-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

วิธีทำน้ำมะกรูดด้วยการต้ม

เหมาะสำหรับ สระแทนแชมพู ทำให้ผมนิ่ม ลื่น รักษาอาการคันศีรษะ

     1. นำมะกรูดผ่าครึ่ง ต้มกับน้ำเล็กน้อย (น้ำ 2ถ้วย ต่อมะกรูด 1 ลูก) ตั้งไฟพอเดือดยกลง ปิดฝาทิ้งไว้จนอุณหภูมิลดลง นำมาคั้นแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อไม่ให้เกร็ดเล็กๆของมะกรูดติดกับผม
     2. นำน้ำมะกรูดที่ได้มาชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ ใช้ทำความสะอาดเส้นผมแทนแชมพู หรือใช้เคลือบเส้นผมแทนครีมนวดผม ทำให้ผมหวีง่ายไม่พันกัน


     เมื่อได้น้ำมะกรูดแล้วก่อนสระผมควรราดผมให้เปียกชุ่มเสียก่อน เนื่องจากน้ำมะกรูดมีฤทธิ์เป็นกรดแก่ กัดหนังศีรษะได้ น้ำมะกรูดเมื่อเจือจางลง ฤทธิ์อ่อนลงไปด้วย ขณะที่สระผมควรนวดศีรษะไปด้วย ทิ้งไว้สองสามนาที ล้างออกและสระซ้ำอีกครั้ง แล้วล้างออกให้สะอาด อย่าให้มีเศษมะกรูดหลงเหลืออยู่ เพราะจะทำให้ผมเสีย ที่สำคัญระวังอย่าให้น้ำมะกรูดเข้าตาหรือถูกปาก เพราะจะรู้สึกแสบตาและชาปาก เวลาใช้ตอนแรกอาจจะรู้สึกแสบที่หนังศีรษะบางแห่ง แสดงว่าตรงนั้นมีแผลอยู่ ไม่เป็นอันตรายอะไรใช้ไปเรื่อยๆ จะหายเอง แต่ถ้ารู้สึกแสบทั้งหนังศีรษะแสดงว่าน้ำมะกรูดข้นไป ต้องผสมน้ำให้เจือจางอีก หลายๆ คนอาจจะเคยอยากใช้มะกรูดสระผม แต่ขี้เกียจยุ่งยาก



ใบหมี่

วิธีทำ แชมพูมะกรูด ใบหมี่
ส่วนผสม

   1. มะกรูด 3-5 ผล
   2. ใบหมี่ 10 ใบ
   3. น้ำซาวข้าวเหนียว 1 ลิตร

วิธีทำ

   1. มะกรูดผ่าตามขวางเป็นสองซีก ตั้งน้ำพอเดือด ใส่มะกรูดและใบหมี่ลงไปในหม้อ
   2. รอให้เดือดต่อประมาณ 10 นาที ปิดฝา ยกลง
   3. รอจนเย็นลง ใช้ผ้าขาวบางกรองเอากากออก แล้วเก็บใส่ขวดไว้ใช้สระผมแทนแชมพู

หมายเหตุ วิธีการทำน้ำซาวข้าวเหนียว ให้นำข้าวเหนียวประมาณ 1 ลิตร แช่น้ำพอท่วม (ใช้น้ำประมาณ 1 ลิตร) ทิ้งไว้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง จะได้น้ำซาวข้าว
            ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนผู้บริโภคนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะทำให้เบาแรงในการทำความสะอาดมาก เหมือนกับที่โฆษณาว่าแค่ราดทิ้งไว้ แป๊บเดียวก็สะอาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางทีอาจใช้พร่ำเพรื่อโดยไม่จำเป็นก็ได้ ดังนั้นน่าจะมาทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำในเรื่องของสารเคมีที่ใช้ซึ่งโดยทั่วไปใช้กรดเกลือหรือชื่อทางเคมีว่ากรดไฮโดรคลอริกรวมถึงวิธีการใช้  ข้อควรระวังในการใช้ ความเป็นพิษ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนวิธีการเก็บรักษา

โครงสร้างทางเคมี

            โครงสร้างทางเคมีของกรดไฮโดรคลอริกหรือกรดเกลือ คือ HCl  ในผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำจะมีกรดไฮโดรคลอริกร้อยละ  8  ถึงร้อยละ 15  โดยน้ำหนัก และมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาด ชะล้างรอยเปื้อนภายใน 5 นาที  กรดไฮโดรคลอริกมีคุณสมบัติเป็นกรดแก่ ทำปฏิกิริยากับหินปูน(แคลเซียม) เกิดฟองฟู่ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสามารถกัดกร่อนโลหะได้เป็นอย่างดี จึงใช้ผสมทำความสะอาดห้องน้ำ เพื่อขจัดคราบที่เกิดจากการตกตะกอนของอนุภาค โลหะซึ่งเป็นคราบขาวเทา หรือคราบสนิมสีส้ม ตามผนังและพื้นห้องน้ำได้ นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอ่าง กระเบื้อง และโถส้วม

            นอกจากนั้นอาจจะผสมกับกรดฟอสฟอริก และสารลดแรงตึงผิวเช่น Nonylphenol, Linear Alkyl Benzene Sulfonate (LAS)  เพื่อให้สารออกฤทธิ์สัมผัสกับพื้นผิวห้องน้ำได้ดีขึ้น และทำความสะอาดได้ทั่วถึงมากขึ้น 

            อย่างไรก็ตามถ้าใช้ผลิตภัณฑ์สูตรนี้บ่อยๆ อาจทำให้ผิวหน้าของพื้นห้องน้ำค่อย ๆ หลุดออก ซึ่งเมื่อใช้ไปเป็นเวลานานพื้นห้องน้ำอาจถูกกัดเซาะผิวหน้า ทำให้ขรุขระไม่เรียบมัน  และทำให้คราบสกปรกติดฝังแน่น ตรงรอยหยาบของผิวกระเบื้องได้มากขึ้น โดยทั่วไประยะเวลาของการถูกกัดเซาะนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของ ผิวกระเบื้องที่ใช้ปูพื้นด้วย
ประโยชน์  ใช้ทำความสะอาด  และฆ่าเชื้อโรคบริเวณพื้นห้องน้ำฝาผนัง  และเครื่องสุขภัณฑ์ เหมาะสำหรับคราบสกปรกมาก และคราบฝังแน่น
วิธีการใช้ (กรดไฮโดรคลอริก 15%)

            สำหรับการทำความสะอาด พื้นห้องน้ำ ผสมน้ำยากับน้ำในอัตราส่วน 1:2 (การผสมให้ค่อยๆ เทน้ำยาลงในน้ำ)

            สำหรับการทำความสะอาด โถส้วม ผสมน้ำยากับน้ำในอัตราส่วน 1:1

            สำหรับการฆ่าเชื้อโรค หลังทำความสะอาดแล้ว ผสมน้ำยากับน้ำในอัตราส่วน 1:2 เทราดลงบนพื้นบริเวณที่ต้องการฆ่าเชื้อ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
            ห้ามเทน้ำลงในน้ำยาที่มีกรดไฮโดรคลอริก

ข้อควรระวังในการใชความเป็นพิษ

            กรดไฮโดรคลอริกในผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ    สามารถเข้าสู่ร่างกายได้    โดยการสัมผัส การหายใจและการรับประทานหรือกลืนกิน โดยทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพดังนี้

            ถ้ากรดไฮโดรคลอริกถูกผิวหนังจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ บวม แดง เจ็บแสบและอาจทำให้เกิดผลเสียอย่างถาวรต่อผิวหนัง

            ไอระเหยหรือละอองไอของกรดไฮโดรคลอริกแม้ในปริมาณน้อยๆ ก็ทำให้เกิดการระคายเคืองตาได้ ทำให้ตาแดง ในความเข้มข้นสูงๆ ทำให้เกิดแผลไหม้หรือตาบอดได้

            การสูดดมไอระเหยของกรดไฮโดรคลอริกทำให้เกิดฤทธิ์กัดกร่อนระบบทางเดินหายใจ  ตั้งแต่แสบจมูก ลำคอ  ไปจนถึงหายใจลำบากได้  ถ้าสูดดมในปริมาณสูงๆ เป็นเวลานานอาจทำให้เป็นแผลไหม้ มีแผลอักเสบที่จมูกและลำคอ ปอดบวมน้ำและหายใจลำบาก

            การกลืนหรือกินจะทำให้เกิดการระคายเคือง  และแผลไหม้ที่ปาก  ลำคอ  ท่ออาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งมีผลทำให้เกิดมีอาการตั้งแต่กลืนลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง ชัก หรือถึงขั้นเสียชีวิต
 

การปฐมพยาบาล

            หากถูกผิวหนัง   ให้รีบล้างออกด้วยการรินน้ำผ่านเป็นปริมาณมากๆ   เป็นเวลาอย่างน้อย  15  นาที  ถ้าเปื้อนเสื้อผ้าให้รีบถอดออกแล้วล้างร่างกายด้วยน้ำและสบู่อ่อน   ส่วนเสื้อผ้าให้นำไปซักก่อนนำมากลับมาใช้ใหม่ ในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นให้รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์

            หากเข้าตา ให้รีบล้างออกจากตาโดยเร็ว ด้วยการรินน้ำอุ่นให้ไหลผ่านตาเป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที  พร้อมเปิดเปลือกตาบนและล่างเป็นครั้งคราว  หากยังมีอาการระคายเคืองอยู่ให้นำผู้ป่วยไปพบแพทย์

            หากหายใจเข้าไป    ให้รีบนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่สัมผัสมายังที่ซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์   ถ้ามีอาการรุนแรงให้ช่วยผายปอดและปั๊มหัวใจ แล้วรีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์

            หากกลืนหรือกินเข้าไป
ห้ามทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมา  ถ้ายังมีสติอยู่ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตามเข้าไปเป็นปริมาณมากๆ หรือให้ดื่มน้ำนมตามเข้าไปหลังจากดื่มน้ำเข้าไปแล้ว ล้างบริเวณปากผู้ป่วย และให้บ้วนปากด้วยน้ำ รีบนำผู้ป่วยส่งแพทย์โดยเร็วที่สุด พร้อมด้วยภาชนะบรรจุ และฉลากของผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ
 

การเก็บรักษา

            ควรแยกเก็บไว้ในที่มิดชิด เป็นสัดส่วนห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยง และอย่าเก็บรวมกับอาหารหรือวางปะปนกับอาหาร  นอกจากนี้ควรจัดเก็บในบริเวณที่แห้งไกลจากความร้อน แสงแดด เปลวไฟ วัตถุหรือสารไวไฟ  รวมถึงโลหะหนัก เนื่องจากกรดไฮโดรคลอริกสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะได้เป็นแก๊สไฮโดรเจนที่ติดไฟได้ง่าย  ซึ่งทำให้เกิดอัคคีภัยและการระเบิดได้ และเมื่อใช้หมดแล้วควรทิ้งหรือทำลายภาชนะบรรจุหรือทำลาย  ห้ามนำมาใส่อาหารหรือของบริโภคอื่น
เหนียวสีขาวขุ่น
 

เจ็บของฉัน เหงาของเธอ-ตูมตาม Official MV (HD)

เจ็บของฉันเหงาของเธอ ตูมตาม

ไม้ไผ่สร้างชาติ

ไผ่ เป็นไม้พุ่มหลายชนิดและหลายสกุลใน วงศ์หญ้า Poaceae (เดิมคือ Gramineae) วงศ์ย่อย Bambusoideae เป็นไม้ไม่ผลัดใบใน ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้องๆ เช่น ไผ่จีน (Arundinaria suberecta Munro) ไผ่ป่า (Bambusa arundinacea Willd.) ไผ่สีสุก (B. flexuosa Munro และ B. blumeana Schult.) ไผ่ไร่ (Gigantochloa albociliata Munro) ไผ่ดำ (Phyllostachys nigra Munro).
ผลผลิตจากไผ่ที่สำคัญคือ หน่อไม้ ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนไทย นิยมทานกันมากในเกือบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน นอกจากนี้ไม้ไผ่ยังมีคุณสมบัติพิเศษทั้งด้านความแข็งแรงและยืดหยุ่นที่เหนือกว่าวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด ดังนั้นจึงยังได้รับความนิยมในการทำเครื่องมือเครื่องใช้หลายประเภท ใช้ชะลอน้ำที่เข้าป่าชายเลน นั่งร้านก่อสร้างและบันได เป็นต้น

[แก้] สกุล

ไผ่ทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 90 สกุล และ 1,000 ชนิด. ที่รู้จักกันแพร่หลาย ส่วนใหญ่จะอยู่ในสกุล ต่อไปนี้
  • Arundinaria
  • Bambusa
  • Chimonobambusa
  • Chusquea
  • Dendrocalamus
  • Drepanostachyum
  • Guadua angustifolia
  • Hibanobambusa
  • Indocalamus
  • Otatea
  • Phyllostachys
  • Pleioblastus
  • Pseudosasa
  • Sasa
  • Sasaella
  • Sasamorpha
  • Semiarundinaria
  • Shibataea
  • Sinarundinaria
  • Sinobambusa
  • Thamnocalamus

[แก้] ไผ่ในประเทศไทย

ในประเทศไทยนั้น พบไผ่อยู่ 30 ชนิด ดังนี้[1]


  ไม้ไผ่ เป็นไม้ที่ขึ้นง่ายและเติบโตเร็ว ขึ้นได้ดีในทุกสภาวะอากาศดำรงอยู่ได้ในพื้นดินทุกชนิด ที่สำคัญคือ ไผ่เป็นพันธุ์ไม้ที่อำนวยประโยชน์หลายประการ ทั้งประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม และเป็นพืชที่ลำต้นกิ่งมีลักษณะแปลกสวยงาม ไผ่เป็นไม้ที่ตายยาก ถ้าไผ่ออกดอกเมื่อใดจึงจะตาย แต่ก็ยากมากและนานมากที่ไผ่จะออกดอก ไม้ไผ่มีประโยชน์มากกับคนเราคนเราสามารถนำไม้ไผ่มาสร้างบ้านที่อยู่อาศัย  และทำเครื่องจักสานอื่นๆอีกมากมายสำหรับไม่ไผ่นั้นใช้ได้ทุกส่วนตั้งแต่ หน่อ ลำต้น ใบ ราก เยื่อไผ่ ขุยไผ่ มีประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวัน  ในปัจจุบันเราสามารถนำไม้ไผ่มาจักรสานทำเป็นอาชีพหารายได้ให้แก่ครอบครัว และยังเป็นงานที่เราส่งออกไปขายอยู่นอกประเทศสำหรับคนไทยเราแล้ว งานที่ใช้ฝีมือถือว่าเป็นงานที่ประณีตระเอียดและสวยงามมาก
ประโยชน์ของไม้ไผ่
1.  ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ
-   ป้องกันการพังทลายของดินตามริมฝั่ง
-   ช่วยเป็นแนวป้องกันลมพายุ
-   ชะลอความเร็วของกระแสน้ำป่าเมื่อฤดูน้ำหลากกันภาวะน้ำท่วมฉับพลัน
-   ให้ความร่มรื่น
-   ใช้ประดับสวน จัดแต่งเป็นมุมพักผ่อนหย่อนใจในบ้านเรือน
2.  ประโยชน์จากลักษณะทางฟิสิกส์
จากความแข็งแรง ความเหนียว การยืดหด ความโค้งงอ และการสปริงตัว ซึ่งเป็นคุณลักษณะประจำตัวของไม้ไผ่ เราสามารถนำมันมาใช้เป็นวัสดุเสริมในงานคอนกรีต และเป็นส่วนต่างๆ ของการสร้างที่อยู่อาศัยแบบประหยัดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
3.  ประโยชน์จากลักษณะทางเคมีของไม้ไผ่
- เนื้อไผ่ใช้บดเป็นเยื่อกระดาษ
- เส้นไยใช้ทำไหมเทียม
- เนื้อไผ่บางชนิดสามารถสกัดทำยารักษาโรคได้
- ใช้ในงานอุตสาหกรรมนานาชนิด
4  การใช้ไม้ไผ่ในผลิตภัณฑ์หัตถกรรม และอุสาหกรรม  แบ่งออกได้   ดังนี้        ผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานจากเส้นตอก ได้แก่ กระจาด  กระบุง  กระด้ง  กระเช้าผลไม้  ตะกร้าจ่ายตลาด  ชะลอม  ตะกร้าใส่ขยะ  กระเป๋าถือสตรี   เข่งใส่ขยะ  เครื่องมือจับสัตว์น้ำ เช่น ข้องใส่ปลา  ลอบ  ไซ ฯลฯ
ผลิตภัณฑ์จากลำต้น และกิ่งของไม้ไผ่  ได้แก่  เก้าอี้  โต๊ะ  ชั้นวางหนังสือ  ทำด้ามไม้กวาด ไม้เท้า คันเบ็ด ราวตากผ้า โครงสร้างบ้านส่วนต่างๆ ทำแคร่ นั่งร้านก่อสร้าง  ท่อส่งน้ำ    รางน้ำ
ผลิตภัณฑ์จากเนื้อไม้ไผ่ ได้แก่  ถาดใส่ขนม   ทัพพีไม้    ตะเกียบ    ไม้เสียบอาหาร
 กรอบรูป  ไม้ก้านธูป ไม้พาย ไม้เกาหลัง เครื่องดนตรี พื้นบ้าน ไม้บรรทัด
        ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากไผ่ซีกได้แก่  โครงโคมกระดาษ   โครงพัด  โครงร่ม  ลูกระนาด
 คันธนู  พื้นม้านั่ง  แผงตากปลา  สุ่มปลา  สุ่มไก่
       5. ประโยชน์ทางด้านการบริโภค เช่น การนำหน่อไม้ไผ่มาทำเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นซุบ แกง ต้ม หรือนำมาดองจิ้มน้ำพริก





ประโยชน์จากไม้ไผ่




บ้านดง ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก เป็นชุมชนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ และธรรมชาติ ซึ่งอยู่ใกล้น้ำตกสาริกา และน้ำตกวังตะไคร้ ชาวบ้านมีวิถีชีวิตแบบชนบท มีอาชีพทำสวนผลไม้นานาชนิดเป็นหลัก นอกจากนั้นบ้านนางรองยังมีต้นไผ่ตงที่ขึ้นมากมาย เมื่อลำต้นหมดอายุก็จะเหลือเป็นตอไม้ ทำให้มีชาวบ้านขุดมาแล้วทดลองแกะสลักเป็นรูปแบบต่างๆ จนเป็นเอกลักษณ์ ภูมิปัญญาของโคมไฟไม้ไผ่แกะสลักที่สวยงาม
เนื่องจากพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีน้ำตกที่คงความเป็นธรรมชาติอันสวยงาม และชาวบ้านมีอาชีพในการปลูกไม้ไผ่ตงเป็นหลัก และมีเป็นจำนวนมากชาวบ้านจึงปล่อยให้เติบโตและปล่อยให้เป็นที่รกร้าง พอต้นไผ่ตงหมดอายุก็จะเหลือเป็นตอไม้ นายประยงค์ เข็มมณี จึงได้นำเหง้าไม้ไผ่มาหัดแกะสลักเป็นรูปสัตว์ขายริมทางหน้าบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านไปแหล่งท่องเที่ยว โดยได้ตั้งชื่อร้านว่า “แปลก”
ในปี พ.ศ. ๒๕42 นายกฤษฎ์ สาริกา ซึ่งจบทางด้านช่าง จากวิทยาลัยเทคนิคนครนายก และได้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เมื่อมีโอกาสได้กลับมาอยู่นครนายกจึงได้หัดแกะสลักไม้ไผ่ดูและวางจำหน่าย ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวสนใจและซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก
ในระยะแรกของการผลิต ได้ลองผิดลองถูกเป็นระยะเวลาหลายปี รวมทั้งรับฟังคำแนะนำจากผู้ที่สนใจและซื้อ โดยได้แกะสลักไม้ไผ่เป็นแบบต่างๆ เช่นดอกไม้ ต้นไม้ ช้าง มังกร รวมทั้งแกะสลักตามที่ลูกค้าได้สั่งผลิต
เนื่องจากไม้ไผ่มีเสน่ห์ สามารถดึงเอาธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์มาสร้างเป็นมูลค่าเพิ่มได้อย่างลงตัว โดยก่อนที่จะลงมือแกะสลัก ผู้ผลิตจะจินตนาการว่าไม้ไผ่ชิ้นนี้สามารถแกะสลักเป็นอะไรได้บ้าง หลังจากนั้นได้แกะสลักลวดลายตามที่ออกแบบไว้ ซึ่งผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นจะมีความอ่อนช้อย สวยงามเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน

ขึ้นด้านบน

ตำบลสาริกา เป็นแหล่งที่มีไผ่ตงเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม้ไผ่มีเสน่ห์ในตัวเอง ซึ่งกลุ่มได้ดึงเอาธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของไผ่มาสร้างเป็นมูลค่าเพิ่มได้อย่างลงตัว โดยก่อนที่จะลงมือแกะสลัก ผู้ผลิตจะจินตนาการว่าไม้ไผ่ชิ้นนี้สามารถแกะสลักเป็นอะไรได้บ้าง หลังจากนั้นได้แกะสลักลวดลายตามที่ออกแบบไว้ ซึ่งผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นจะมีความอ่อนช้อย สวยงามเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน

ขึ้นด้านบน

  • สิทธิบัตร
  • มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(มผช.)
  • OTOP Product Champiom ปี 2553 ระดับ 3 ดาว
  • สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์

ขึ้นด้านบน

ไผ่ตงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้ และเมื่อลำต้นมีอายุประมาณ 3 ปี ชาวสวนจะนำลำต้นและเหง้าไผ่มาจำหน่ายให้กับกลุ่ม เพื่อนำมาประดิษฐ์เป็นโคมไฟหรือของประดับตกแต่งบ้านต่อไป สำหรับแรงงานของกลุ่มผู้ผลิตทั้งหมดเป็นชาวบ้านในตำบล

ขึ้นด้านบน

1. ไม้ไผ่ตง
2. ยูริเทนหรือเลกเกอร์
3. ตอก
4. สายไฟและหลอดไฟ
5. สิ่วปากแบน สิ่วเล็บมือ ขนาดต่างๆ
6. ตลับวัด
7. สว่านเจาะ
8. กระดาษทราย
9. เครื่องเจีย
10. เลื่อยคันธนู เลื่อยไฟฟ้า
11. แปรงทองเหลือง แปรงทาสี

ขึ้นด้านบน

1. นำไม้ไผ่ที่ตัดได้ขนาดแล้ว นำไปผึ่งที่ที่ลมพัดผ่านสะดวก ทิ้งให้แห้งโดยธรรมชาติ
2. นำไปกลึง ขนาดตามต้องการ
3. ตัดไม้ไผ่ให้ได้ขนาดโคมไฟตามต้องการ
4. ออกแบบลวดลายบนโคมไฟตามต้องการในกระดาษ ตัดแบบแล้วทาบลงบนไม้ที่กลึงแล้ว
5. แกะสลักตามแบบที่ได้ออกแบบไว้
6. เดินเส้นลายก่อนเพื่อให้เห็นรูปร่างด้วยสิ่วขนาดเล็ก
7. แกะสลักให้ลวดลายมีความตื้น-ลึก ด้วยสิ่วที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ตามที่ต้องการ จากนั้นนำมาแกะต่อ เพื่อเพิ่มลายละเอียดจนได้ลวดลายตามความพึงพอใจ เมื่อแกะลวดลายเสร็จแล้วนำไปเจาะให้เกิดส่วนที่แสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าลอดออกมา
  • ใช้สว่านเจาะนำก่อน เพื่อให้ใส่ใบเลื่อยลงไปได้
  • ใช้เลื่อยไฟฟ้า เจาะให้เกิดส่วนที่แสงสว่างจากหลอด
  • ไฟฟ้าลอดออกมาได้
  • ขัดตกแต่งลบลอยฟันเลื่อยให้เรียบร้อย
  • ตัดและตกแต่งให้ได้ขนาดที่ต้องการ
  • ใช้เครื่องเจียและกระดาษทรายขัดให้เรียบ
  • ทำความสะอาด
8. เมื่อชิ้นงานให้แห้งสนิทแล้ว ทาสีตามต้องการ ทั้งด้านในและด้านนอก ใช้ผ้าเช็ดสีเพื่อให้ลายส่วนที่นูนกว่าดูสว่างขึ้น
9. เคลือบด้วยน้ำมันเคลือบแข็ง (ยูริเทนหรือแลกเกอร์) ทิ้งให้แห้งปั่นด้วยแปรงปั่นสี
ประกอบชุดมู่ลี่ ใส่ตะแกรงไม้สาน
  • ตัดตะแกรงไม้ไผ่สานตามขนาดของโคมไฟ
  • ใส่ตะแกรงไม้ไผ่สานลงไปในโคมไฟ
  • ติดตะแกรงไม้ไผ่สานกับโคมไฟ ด้วยกาวร้อนผสมกับขี้เลื่อยจากผงไม้ไผ่
  • ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า ขั้วหลอด สะพานไฟและขั้วเสียบ

 
ผลิตภัณฑ์จักสานจากไม้ไผ

เงินลงทุน
          ประมาณ 5,000-10,000 บาท

แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์
          จังหวัดลำพูน เชียงใหม่ ชัยนาท จันทบุรี
อุปกรณ์
          ไม้ไผ่ มีดขนาดต่างๆ เช่น มีดสำหรับผ่า มีดจักตอก ฯลฯ สว่านแบบมือหมุน เลื่อย ปากคีบแบบหุ่น
รายได้
          ประมาณ 8,000-15,000 บาท/เดือน
วิธีดำเนินการ
          1. หาแหล่งที่จะซื้อไม้ไผ่ที่แปรรูปแล้ว และยังไม่แปรรูป

          2. ควรได้ศึกษาถึงชนิดการใช้งานของไม้ไผ่ชนิดต่างๆเนื่องจากไม้ไผ่แต่ละชนิดมีคุณ ลักษณะแตกต่างกัน เช่น
               -ไผ่สีสุก มีเนื้อหนา เหนียวทนทาน จึงเหมาะที่จะนำไปทำเครื่องจักสานประเภทเฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือประมง
               -ไผ่นวล มีเนื้ออ่อนค่อนข้างเหนียว เหมาะที่จะนำไปทำเครื่องจักสานชนิดที่ต้องการความละเอียด เนื่องจากสามารถจักตอกให้เป็นเส้นเล็กบางได้
               -ไผ่รวกดำ ลำต้นแข็งแรงทนทาน ใช้ทำโครงร่ม โครงพัดสานเข่ง
               -ไผ่ข้าวหลาม เป็นไผ่เนื้อค่อนข้างบางใช้ทำกระบอกข้าวหลาม เครื่องจักสาน
               -ไผ่เฮี๊ยะ เป็นไม้ไผ่ขนาดกลาง ใช้ทำเครื่องจักสาน โครงสร้างอาคาร

          3. เตรียมไม้ไผ่เพื่อนำมาจักสาน ควรเป็นไผ่ที่มีอายุ 2-4 ปี ซึ่งเนื้อไม้จะมีความเหนียวกำลังดี ไม่แก่หรืออ่อนเกินไปและต้องเลือกดูไม้ที่ไม่มีแมลง แต่อย่างไรก็ดีควรจะต้มหรือผ่านกรรมวิธีป้องกันเชื้อราและมอดเสียก่อน (ไม้ไผ่ที่นิยมนำมาใช้ในการจักสาน ได้แก่ ไผ่เลี้ยง ไผ่สีสุก ไผ่เฮี๊ยะ ไผ่ลำมะลอก ไผ่รวก เป็นต้น) จากนั้นจึงนำไปตัด ซึ่งต้องตัดให้มีความยาวตามขนาดผลิตภัณฑ์ที่จะสานแล้วนำไปริดข้อ ซึ่งต้องระวังอย่าริดให้ลึกจนเกิดรอยแผลที่ผิวไม้ไผ่ และขั้นตอนสุดท้าย คือ ขูดผิวไม้ไผ่ เพื่อการย้อม/ทาสี หลังจากขูดแล้ว ใช้กระดาษทรายเบอร์ 0 ขัดให้เรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง

          4. การย้อมและการทาสีไม้ไผ่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เครื่องจักสานดูสวยงาม น่าใช้ ซึ่งก่อนที่จะทำการย้อมสี จะต้องเอาน้ำมันออกจากเนื้อไม้เสียก่อน โดยการต้มไม้ไผ่ในน้ำโซดาไฟหรือโซเดียมคาร์บอเนต ขนาด 0.2% นานประมาณ 3-4 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด และอบให้แห้งสนิทจากนั้นนำไม้ไผ่ลงต้มกับสีที่ละลายน้ำแล้ว ประมาณ 20-60 นาที อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส ซึ่งขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก ดังนั้น จึงนิยมใช้วิธีทาด้วยสีน้ำมันแลคเกอร์หรือน้ำมันวานิชแทน

          5. ติดต่อตลาดจำหน่าย ซึ่งโดยปกติจะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงบ้าน หรือบางครั้งจะรับสั่งทำตามที่ลูกค้าต้องการหรืออาจจะนำไปขายเองก็ได้

          6. ปรับปรุงและพัฒนารูปแบบของเครื่องจักรสานให้ทันสมัยเป็นที่ถูกตาต้องใจของลูกค้าทุกวัยเพราะบางครั้งลูกค้าซึ่งมีความเข้าใจว่าเครื่องจักสานเป็นสินค้าที่เหมาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น
สถานที่ฝึกอบรม
          1. สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 02-245-2655,245-4741
          2. ในส่วนภูมิภาคที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม 11 ศูนย์ ดังนี้ เชียงใหม่ พิษณุโลก พิจิตร อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชลบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา
          3. อุตสาหกรรมจังหวัด (ส่วนส่งเสริมอุตสาหกรรม) ทุกจังหวัด
ข้อแนะนำ
          การย้อมสีให้ติดดีนั้น ให้ขูดผิวไม้ไผ่อย่างแผ่วๆ ด้วยมีดเสียก่อน และถ้าจะให้สีเด่นให้นำไม้ไผ่ลงแช่ในกรดแทนนิค แอซิค ชนิด 4-6 เป็นเวลา 3 ชั่วโมง หรือแช่ในน้ำยาทาอีเมติคชนิด 1-2 เป็นเวลา 30 นาที